เส้นใยธรรมชาติ กับ เส้นใยสังเคราะห์ ต่างกันอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์เป็นประเภทของเส้นใยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการนำไปผลิตเสื้อผ้า หรือเครื่องนุ่งห่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง หรือหมวก เป็นต้น เพราะเส้นใยทั้งสองประเภทนี้มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ส่งผลให้เหมาะสำหรับชนิดของเสื้อผ้าที่เหมาะสมต่างกันออกไปด้วย ดังนั้นแล้ว บทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์กันกว่าคืออะไร และมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคุณสมบัติที่โดดเด่นของเส้นใยทั้งสองประเภทนี้

เส้นใยธรรมชาติ คืออะไร?

เมื่อพูดถึงเส้นใยธรรมชาติ (Natural Fiber) ตามชื่อเลยก็คือ เส้นใยที่มีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณ สัตว์ป่า สินแร่ และยางต่าง ๆ เป็นต้น เนื่องด้วยคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งน้ำหนักเบา ปลอดสารเคมี และผิวสัมผัสนุ่มนวล สวมใส่สบาย จนกลายมาเป็นเส้นใยที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งเส้นใยธรรมชาติประกอบไปด้วย 3 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

เส้นใยธรรมชาติจากพืชพรรณ (Cellulose Fibers) 

  1. เมล็ด
  • ฝ้าย (Cotton) : เกิดจากการปั่นเส้นใยฝ้ายจนเกิดเป็นเส้นด้าย แล้วนำมาถักทอเป็นผืนผ้าต่าง ๆ ซึ่งมีความเบาบาง นุ่มสบาย
  • นุ่น (Kapok) : มีคุณสมบัติที่สามารถดูดซับความชื้นได้น้อย แต่มีน้ำหนักเบา และทนทานต่อแมลงและเชื้อราได้ดี จึงนิยมนำไปยัดเบาะ ฟูก หมอน หรือตุ๊กตา
  1. ลำต้น
  • ลินิน (Linen) : ได้จากส่วนเปลือกของลำต้น Flax ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านการระบายอากาศและดูซับเหงื่อได้เป็นอย่างดี
  • ปอ (Jute) : ส่วนใหญ่แล้วมักจะนำไปใช้ประโยชน์จากการกรองฝ้าย เพราะไม่เหมาะสำหรับการผลิตเสื้อผ้า เนื่องจากความหยาบและระคายเคืองผิว จึงทำให้นิยมใช้ทำเชือก กระสอบ หรือถุง เท่านั้น
  1. ใบ
  • สับปะรด (Pine Apple) : เป็นเส้นใยที่ค่อนข้างเหนียวและนุ่ม นิยมนำมาใช้ทำเส้นใยสิ่งทอ เช่น เชือก ด้าย และผ้าบางประเภท
  • ป่านศรนารายณ์ (Sisal) : นิยมนำมาผลิตเป็นเชือกขนาดต่าง ๆ สำหรับงานการเกษตร การเดินเรือและเชือกห่อของ
  1. ผล
  • มะพร้าว (Coir) : ได้จากส่วนเปลือกของผลมะพร้าว ซึ่งเส้นใยมีลักษณะแข็งกระด้าง ทนทานต่อความชื้นได้ดี อีกทั้งยังทนต่อการทำลายของจุลินทรีย์ได้ดีอีกด้วย ส่งผลให้เหมาะสำหรับทำเป็นเบาะรถยนต์ ที่นอน เสื่อ หรือไม้กวาด เป็นต้น

เส้นใยธรรมชาติจากสัตว์ (Protein Fibers)

  1. ขนสัตว์ (Wool) : ส่วนใหญ่แล้ว ขนสัตว์ที่นิยมนำมาผลิตเป็นเส้นใยมากที่สุดคือ ขนแกะ เพราะมีความหนาและนุ่มนวลเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับภูมิประเทศแถบหนาวเป็นหลัก เพราะด้วยความหนา ส่งผลให้ผู้สวมใส่อบอุ่นกว่าปกติ
  2. ไหม (Silk) : ส่วนโปรตีนของรังไหมที่เกิดการปั่นเป็นเส้นด้าย ก่อนจะนำมาถักทอ ทำให้เสื้อผ้าจากไหมนั้นมีความนุ่ม ไม่ยับง่าย

เส้นใยธรรมชาติจากสินแร่ (Mineral Fibers)

  1. ใยหิน (Asbestos) : มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านความแข็งแรง และความทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมีหลายชนิด ซึ่งมีความเหนียวและไม่นำไฟฟ้า รวมไปถึงยังทนทานต่อความร้อนได้สูงอีกด้วย

เส้นใยสังเคราะห์ คืออะไร?

เส้นใยสังเคราะห์ (Synthetic Fibers) เป็นเส้นใยที่ได้รับการพัฒนาจากนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของเส้นใยให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเป็นการพัฒนาขึ้นมาจากเส้นใยธรรมชาติจำพวกพืชหรือขนสัตว์ ซึ่งเส้นใยสังเคราะห์นี้แบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ดังต่อไปนี้ 

เส้นในเซลลูโลสสังเคราะห์ (Synthetic Cellulose Fibers)

เรยอน (Rayon) เส้นใยเซลลูโลสสังเคราะห์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ไหมเทียม’ แต่ต่อมาได้เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า เรยอน ซึ่งผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อปรับปรุงคุณภาพและคุณสมบัติให้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เส้นใยโปรตีนสังเคราะห์ (Synthetic Protein Fibers)

เดิมทีแล้ว ในปี ค.ศ. 1894 ซึ่งเป็นปีแรกที่เส้นใยโปรตีนสังเคราะห์ถูกผลิตขึ้น โดยใช้ชื่อว่า ‘Vandura Silk’ แต่คุณสมบัติที่ออกมายังไม่ดีมากนึง เพราะสามารถถูกละลายน้ำได้ง่ายมากเกินไป ส่งผลให้ต่อมาในปี ค.ศ. 1904 Todtenhaupt ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการผลิตเส้นใยโปรตีนสังเคราะห์จากหางน้ำนม (Casein) อีกครั้ง แต่กระนั้น ผลลัพธ์ยังคงไม่ดีอีกตามเคย เนื่องจากเส้นใยที่ได้ไม่สามารถโค้งงอและรวมตัวกันได้ดีเท่าที่ควร 

จนในปีค.ศ. 1924 – 1935 Antonio Ferretli สามารถผลิตเส้นในโปรตีนสังเคราะห์จากหางน้ำนม (Casein) ได้สำเร็จ และใช้ชื่อทางการค้าว่า ‘Lanital’ จากนั้นก็เริ่มแพร่ขยายไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นเส้นใยโปรตีนสังเคราะห์จากถั่วเหลือง (Soybeans) ถั่วลิสง (Peanuts) และข้าวโพด (Corn) จนประสบผลสำเร็จอย่างเช่นในปัจจุบันนั่นเอง

เส้นใยโพลีเมอร์สังเคราะห์ (Synthetic Polymer Fibers)

เส้นใยสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมาจากสารเคมีโพลิเมอร์ ด้วยวิธีการทางเคมี ซึ่งสามารถแบ่งออกได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไนลอน (Nylon) โพลีเอสเตอร์ (Polyester) อะคริลิก (Arcylic) และโอลิฟิน (Olefin) เป็นต้น โดยเส้นใยแต่ละชนิดที่กล่าวมานี้มีส่วนประกอบทางเคมีที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่คล้ายคลึงกันคือ กระบวนการและขั้นตอนการผลิต

ความแตกต่างของเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์

ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การผลิตเส้นในสังเคราะห์ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย จนสามารถนำมาทดแทนเส้นในธรรมชาติที่ค่อย ๆ ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม เส้นในธรรมชาติยังคงมีความสำคัญสูง และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายไม่น้อยลงเลย เนื่องด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของเส้นใยธรรมชาติอย่างความนุ่ม ความสบายในการสวมใส่ รวมไปถึงถักทอและย้อมสีง่าย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เส้นในสังเคราะห์ไม่สามารถทดแทนได้ จึงไม่แปลกเลยที่เส้นในธรรมชาติยังคงสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทออยู่ แม้ว่าเส้นใยสังเคราะห์จะถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป

การเลือกซื้อเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นเสื้อโปโล หรือเสื้อเชิ้ต จากเส้นใยธรรมชาติหรือเส้นใยสังเคราะห์นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและคุณสมบัติของเสื้อผ้าที่ต้องการ อาทิเช่น ด้านความนุ่มสบาย ด้านเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านความทนทาน หรือด้านราคา โดยคุณสมบัติเหล่านี้่เป็นตัวชี้วัดว่าเส้นใยชนิดไหนตรงกับความต้องการมากที่สุด เพื่อให้ได้รับเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการใช้งานนั่นเอง

สำหรับใครกำลังมองหายูนิฟอร์มคุณภาพสูงในราคาไม่ประหยัด ต้องที่! SMART UNIFORM ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างแน่อน ด้วยบริการรับผลิตชุดยูนิฟอร์มหรือเสื้อผ้าทุกชนิด รับประกันคุณภาพของเสื้อผ้า สามารถเข้าไปเลือกชมได้ที่เว็บไซต์ หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร 02-415-7195